“เราจะยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรได้อย่างไร?” เป็นคำถามอยู่คู่กับประเทศไทย ที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศเกษตรกรรมมาช้านาน คุณโอ๋ เกษตรกร ในบ้านห้วยปลาดุก อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ก็มีคำถามเช่นนั้นอยู่ในใจมาตลอด จากการสังเกตเห็นวัฏจักรความยากจน และหนี้สินเกษตรกรที่เกิดวนเวียนซ้ำไปมา จึงได้ออกตัวเป็นแกนหลักตั้งวิสาหกิจชุมชน เพื่อร่วมกันเรียนรู้หาแนวการทำเกษตรใหม่ ๆที่ตอบโจทย์การยะระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรในชุมชนได้
เกิดเป็น“ร้านค้าชุมชนยิ้มสวยบ้านห้วยปลาดุก” จุดศูนย์รวมสินค้าการเกษตรที่เปิดให้เกษตรกรนำผลิตมาวางขายกันโดยไม่มีผ่านพ่อค้าคนกลาง สามารถกำหนดราคาได้เอง ด้วยแนวคิดเพื่อสร้างฐานเศรษฐกิจที่พึ่งพากันชุมชน และพื้นที่สำหรับทดลองให้เกษตรกรได้ลองมาเป็นเรียนการเป็นผู้ประกอบการ
การเริ่มต้นรวมกลุ่มที่ไม่สวยงามนัก
“เหตุมันเกิดจากที่ว่าเกษตรกรขายผลผลิตที่เขาลงแรงทำทุกวันทุกเดือน ให้พ่อค้าคนกลางแต่กลับยิ่งเป็นหนี้ งั้นเรามาลองรวมกลุ่มลงทุนด้านการเกษตรกันดูไหม” การที่คุณโอ๋เกิดและเติบโตในชมชนหนองปลาดุก สังเกตเห็นวัฏจักรหนี้สินของเกษตรกรของคนในชุมชน ที่ยิ่งทำเกษตรยิ่งจนยิ่งเป็นหนี้ และส่งต่อความจนสู่คนรุ่นต่อไป จึงมีความคิดที่อยากลองหาวิถีการทำเกษตรรูปแบบใหม่เข้ามาพัฒนาชุมชน ให้หลุดพ้นจากความยากจนเหล่านั้น
ทำให้คุณโอ๋เกิดไอเดียที่ลองชวนเกษตรกรในชุมชน รวมกลุ่มกันเป็นวิสาหกิจชุมชน โดยทำปุ๋ยหมักอินทรีย์ออกขาย ในกลุ่มมีเกษตรกร 20 คนเริ่ม จากชักชวนกันในเครือญาติที่มองเห็นปัญหาไปในทิศทางเดียวกัน ช่วยกันขับเคลื่อนวิสาหกิจนี้ แบ่งหน้าที่กันอย่าง ไปซื้อมูลวัว รวบรวมเศษอาหาร มาเพื่อมาทำปุ๋ยหมัก ด้วยความคิดที่ว่าอย่างน้อยเป็นการลดต้นทุนการผลิต ไม่ต้องไปซื้อปุ๋ยจากข้างนอกชุมชนมาใช้
“แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ สุดท้ายคนก็กลับไปทำเคมีแบบเดิม” คุณโอ๋ เล่าให้ฟังว่าในช่วงแรกผลลัพธ์ออกมาดี มีการซื้อขายปุ๋ยกันเองในชุมชนเกิดเป็นระบบเศรษฐกิจย่อม ๆ แต่ด้วยการที่ในส่วนใหญ่ของชุมชนยังเป็นทำเกษตรแบบใช้สารเคมี ทำให้ในกลุ่มเกิดการเปรียบเทียบ กับเกษตรแบบอินทรีย์ที่ได้ผลตอบแทนช้าเพราะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ทำให้หลังจากผ่านไป 1 ปีคนในกลุ่มเริ่มกลับไปทำเกษตรแบบเคมีเหมือนเดิม
“เป็นปัญหาเวลาเอาความคิดใหม่ ๆไปให้เขาจะไม่เข้าใจ เพราะเขาเคยทำแบบนั้นมาตลอด” แม้จะรู้สึกท้อบางเวลากับความล้มเหลวในการพยายามเปลี่ยนความคิดคนในกลุ่ม ให้ลองเปลี่ยนวิธีการเกษตรแบบที่เป็นอยู่ เพราะมองว่าการทำวิธีเดิมย่อมได้ผลลัพธ์แบบเดิม แต่สิ่งที่คุณโอ๋มุ่งทำต่อไปคือการพยายามสร้างผลลัพธ์ที่ดีเพื่อพิสูจน์แนวทางของเขาให้ชาวบ้านเห็น
เกิดร้านค้าชุมชนยิ้มสวยบ้านห้วยปลาดุก กับความมุ่งมั่นเดิมที่อยากยกระดับชีวิตคนในชุมชน
เมื่อรู้ว่าการทำเกษตรอินทรีย์ยังไม่ตอบโจทย์ชีวิตของคนในชุมชนในห้วงเวลานี้ คุณโอ๋จึงชวนคนในกลุ่มมาประชุมร่วมกันอีกครั้ง ด้วยความมุ่งหวังเดิมคือยังอยากจะหาวิธียกระดับชีวิตให้กับเกษตรกรในชุมชน จึงออกมาเป็นรูปแบบร้านค้าชุมชนดีมีรอยยิ้มบ้านห้วยปลาดุก จุดประสงค์เพื่อจะแก้ปัญหาการขายให้พ่อค้าคนกลางที่เกษตรไม่สามารถกำหนดราคาเองได้ คุณโอ๋จึงใช้ที่ดินของตัวเองมาทำเป็นร้านค้าที่เปิดให้คนในชุมชนนำลผลิตการมาวางขาย ซึ่งเกษตรจะแบ่งผลผลิต 5 – 10 % จากที่ขายให้พ่อค้าคนกลางตามระบบปกติ มาขายวางขายในร้านค้า โดยจะสามารถกำหนดราคาเองได้ “เวลาไปขายพ่อค้าคนกลางเรากำหนดราคาไม่ได้เลย เราเลยชวนให้เอาแบ่ง 5 เปอร์เซนมาขายที่ร้าน คนนี้เอากล้วยมา คนนั้นเอาพริกมา รวมกันเลยเกิดเป็นร้านค้าชุมชนแบบบ้าน ๆของเรา ”
จากเดิมทีเป็นการซื้อ-ขายกันเอง เฉพาะในชุมชน จนเริ่มมีคนภายนอกที่ผ่านมาไปแวะเวียนเข้ามาซื้อของจากร้านค้ามากขึ้น ซึ่งอีกจุดมุ่งหมายหนึ่งคือการสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้กับชาวบ้านที่มีความรู้เพียงเฉพาะการเพาะปลูก ให้เข้าใจการเป็นผู้ประกอบการ การตั้งราคาขาย การหาตลาด รวมถึงการบริหารจัดการต่าง “เรามีสองมือกับสมองเปล่าๆ เราเลยต้องออกไปเรียนรู้” รวมถึงคุณโอ๋เองก็พยายามเรียนรู้สิ่งต่าง ๆเพิ่มเติม โดยออกไปเข้าร่วมการอบรมตามที่ต่าง ๆที่มีการจัดให้ความรู้ ด้านการพัฒนาธุรกิจชุมชน เพื่อเอาพัฒนาต่อยอดให้กับร้านค้าชุมชน
การได้ออกไปเรียนรู้กับคนที่มีความรู้มากมาย ได้เห็นโมเดลธุรกิจเพื่อชุมชนในพื้นที่อื่น ๆ เป็นการสร้างแรงบรรดาลใจให้กับคุณโอ๋ ถ่ายทอดไปยังคนอื่น ๆในกลุ่ม และเริ่มเห็นแนวทางการพัฒนาร้านค้าชุมชนของพวกเขา ซึ่งปัจจุบันแม้ว่าจะเป็นไปได้ในทิศทางที่ดี เริ่มมีคนมาสนใจนำสินค้าเข้ามาขายมากขึ้น แต่สิ่งที่ยังขาดไปคือการสร้างระบบธุรกิจให้ร้านค้ายั่งยืน อย่างเช่นการที่ทุกวันนี้เปิดให้มีคนในกลุ่มเข้ามาวางขายสินค้าฟรี โดยยังไม่มีการเก็บค่าส่วนแบ่ง ทำให้ยังไม่มีเงินหมุนในระบบเพื่อนำไปต่อยอดทำสิ่งต่าง ๆ ทั้งยังเรื่องการบริหารจัดการเงินทุนของผู้ค้าที่ยังไม่ลงตัว
“เรื่องการอยากพัฒนาบ้านเราเกิดมันมีในตัวอยู่แล้ว การได้อบรมต่าง ๆ ทำให้เราเริ่มรู้ระบบการตลาด แล้วลองเอามาทำดูจริง ๆให้เห็นว่าความเป็นไปได้” คุณโอ๋ เองก็มองว่าตัวเองไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องการธุรกิจมากกว่าคนอื่น ๆ เพียงพยายามนำความรู้จากที่ออกไปเรียนรู้ มาชวนคนในชุมชนใช้พื้นที่ร้านค้าชุมชนยิ้มสวยบ้านห้วยปลาดุก เป็นพื้นที่ร่วมกันทดลองเรียนรู้ธุรกิจในชุมชน ด้วยความเชื่อร่วมกันที่ว่าหากคนชุมชนร่วมกลุ่ม จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้
ก้าวต่อไปสู่ความยั่งยืน
ปัจจุบันกลุ่มของคุณโอ๋มีสมาชิกอยู่ 30 คน เพิ่มจากเดิมที่มี 20 คน“การที่กลุ่มขยายเพิ่มถือว่าเป็นความสำเร็จอีก 1 ก้าว สำหรับผม การที่มีคนจนที่เป็นหนี้เป็นสินเข้ามาในกลุ่มเป็นเรื่องดีมาก” คุณโอ๋มองว่า การคนที่มีปัญหาการเงินเข้ามาเป็นสมาชิกกลุ่มเพิ่มนั้น แสดงให้เห็นว่าเริ่มมีคนในชุมชนที่เห็นกับแนวทางของกลุ่มมากขึ้น ซึ่งแผนงานต่อไปสำหรับคุณโอ๋และกลุ่ม คือการพยายามจัดระบบร้านค้าชุมชน เช่นเริ่มเก็บส่วนแบ่งเล็ก ๆน้อย ๆ จากสมาชิกที่นำสินค้ามาขายเพื่อให้มีเงินหมุนเวียน สามารถนำไปต่อยอดสิ่งต่าง ที่จะนำมาสู่การมีระบบการบริหารจัดการที่ยั่งยืน
รวมถึงมีแผนที่พยายามหาตลาดใหม่ ๆให้สินค้าออกไปขายนอกชุมชนมากขึ้น จากเดิมที่เน้นซื้อขายกันเองในชุมชนกับลูกค้าที่สัญจรผ่านไป-มา เป็นความท้าทายอย่างนึงในการนำสินค้าออกไปขายนอกชุมชนเองโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลางต้องอาศัย การบริหารจัดอีกหลายอย่าง ทั้งยังมีโครงการ “แปลงเกษตรพอเพียง” เพื่อช่วยเหลือกลุ่มสมาชิกที่ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตัว ซึ่งส่วนใหญ่จะหารายได้ด้วยการรับจ้างทั่วไปในชุมชน หรือเข้าไปทำงานตามโรงงานในเมือง โดยการเปิดให้คนกลุ่มนี่เข้ามาทำเกษตรในที่ดินส่วนกลางของกลุ่ม เพื่อจะให้มีรายได้เพิ่มเป็นรากฐานรับรองของชีวิต
นอกจากนั้นคุณโอ๋ ยังคิดว่าจะผลักดันให้เกิดการทำเกษตรอินทรีย์ขึ้นในกลุ่มอีกครั้ง เพราะมองว่าเป็นแนวทางเกษตรที่โดยภาพรวมแล้วจะนำความสุขมาสู่เกษตรกร แม้ว่าต้องใช้เวลามากขึ้นในการได้ผลลัพธ์ที่ดี แต่อย่างน้อยเป็นลดต้นทุนการผลิต ด้วยการใช้ปุ๋ยจากวัตถุดิบที่หาได้ท้องถิ่น ยังทำให้สุขภาพสิ่งแวดล้อมดีตามไปอีกด้วย “ผมไม่ยอมแพ้อยู่แล้ว เพราะถ้าเกษตรกรอย่างเราไม่ทำ จะไปหวังให้คนอื่นเข้ามาทำให้เราก็ไม่ได้” คุณโอ๋กล่าว สำหรับคุณโอ๋แล้วร้านค้าชุมชนบ้านห้วยปลาดุก เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ลองผิดลองถูกหาทิศทางการแก้ปัญหาความเป็นของเกษตรกร โดยคนที่รู้ปัญหาจริงคือคนในชุมชนเอง